ผมร่วง เป็นหนึ่งในปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย บางคนอาจสังเกตเห็นเพียงเส้นผมหลุดร่วงระหว่างสระผมหรือหวีผม แต่สำหรับบางราย อาการอาจค่อย ๆ ลุกลามจนผมร่วงเป็นหย่อม เห็นหนังศีรษะชัด
อาการผมร่วงเป็นหย่อมอาจไม่ได้เกิดจากความเครียดหรือพันธุกรรมเพียงอย่างเดียว เพราะในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณของโรค Lichen Planopilaris (LPP) ซึ่งเป็นโรคผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่ส่งผลต่อรูขุมขนโดยตรง จนทำให้เกิดภาวะผมร่วงถาวรได้ หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่น ๆ

โรค Lichen Planopilaris คืออะไร?
Lichen Planopilaris เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรค Lichen Planus ที่เกิดจากการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกันบริเวณรูขุมขน โดยระบบภูมิคุ้มกันเข้าใจผิดว่าเซลล์รากผมเป็นสิ่งแปลกปลอม จึงเกิดการโจมตีและทำลายรูขุมขน ส่งผลให้ผมหลุดร่วงและเกิดรอยแผลเป็นถาวร เมื่อรูขุมขนถูกทำลายแล้ว จะไม่สามารถงอกผมใหม่ได้อีก เราจึงเรียกภาวะนี้ว่า ผมร่วงแบบมีแผลเป็นบนหนังศีรษะ (Scarring Alopecia)
ทั้งนี้ โรค Lichen Planopilaris พบได้บ่อยในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะในช่วงอายุราว 40-60 ปี แต่ก็สามารถเกิดในเพศชายและช่วงวัยอื่น ๆ ได้เช่นกัน
อาการของโรค Lichen Planopilaris เป็นอย่างไร?
ผู้ที่เป็นโรค Lichen Planopilaris มักเริ่มจากอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น คันหนังศีรษะ หรือรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเห็นผมร่วงเป็นหย่อมอย่างชัดเจน โดยอาการทั่วไปของ Lichen Planopilaris ที่สามารถสังเกตได้ ประกอบไปด้วย
- หนังศีรษะแดง หรือมีรอยอักเสบเป็นวง
- ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ไม่หยุด รูขุมขนหายไป เหลือเพียงรอยเรียบคล้ายแผลเป็น
- รู้สึกเจ็บ แสบ หรือคันบริเวณที่ผมร่วง
- บางรายอาจมีสะเก็ดขาวรอบโคนผม
อย่างไรก็ดี นอกจากศีรษะแล้ว โรคนี้ยังอาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณอื่น ๆ ที่มีขน เช่น คิ้ว หรือหัวหน่าว หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผมจะร่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ และบริเวณที่มีแผลเป็นจะไม่สามารถขึ้นผมใหม่ได้อีก ทำให้เกิดภาวะศีรษะล้านถาวรในบางจุด
สาเหตุของโรค Lichen Planopilaris คืออะไร?
ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสาเหตุของ Lichen Planopilaris คืออะไร แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกัน (Autoimmune) ที่ทำงานผิดปกติ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจกระตุ้นให้โรคกำเริบขึ้นได้ เช่น
- พันธุกรรม มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกลุ่ม Lichen Planus
- ความเครียดเรื้อรัง กระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ
- การติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus; HCV) ไวรัส Epstein–Barr (EBV) หรือ ไวรัสในกลุ่มเริม (Herpes Viruses)
- ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง เช่น วัยหมดประจำเดือน
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาความดันโลหิต ยาต้านมาลาเรีย หรือยารักษาโรคข้อ
วิธีวินิจฉัยโรค Lichen Planopilaris
เมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยอาจมีภาวะผมร่วงเป็นหย่อมที่เกิดจาก Lichen Planopilaris จะเริ่มการวินิจฉัยด้วยการตรวจหนังศีรษะโดยละเอียด พร้อมซักประวัติสุขภาพ การใช้ยา และอาการร่วมอื่น ๆ จากนั้นอาจมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อวางแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น
- การตรวจชิ้นเนื้อหนังศีรษะ (Scalp biopsy) เพื่อดูการอักเสบของรูขุมขนภายใต้กล้องจุลทรรศน์
- การส่องกล้อง Trichoscopy ซึ่งเป็นเครื่องมือเฉพาะที่ช่วยให้แพทย์มองเห็นสภาพรูขุมขนและเส้นผมได้ชัดเจน
- การตรวจเลือด เพื่อแยกโรคที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น โรคผมร่วงเป็นหย่อมจากภูมิต้านตนเอง (Alopecia Areata)
แนวทางการรักษาโรค Lichen Planopilaris
แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีรักษาโรค Lichen Planopilaris ให้หายขาด แต่เบื้องต้นจะมุ่งเน้นไปที่การควบคุมการอักเสบ เพื่อป้องกันไม่ให้ผมร่วงเพิ่ม และลดอาการไม่สบายบนหนังศีรษะ โดยแนวทางการรักษาที่นิยมใช้ ได้แก่
1. ยาควบคุมการอักเสบ
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) ทั้งแบบทา รับประทาน หรือฉีดเฉพาะจุด เพื่อลดการอักเสบและอาการคัน
- ยากลุ่มยับยั้งแคลซินูริน (Calcineurin Inhibitors) เช่น Tacrolimus ใช้ทาเฉพาะที่เพื่อลดการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน
2. ยาต้านมาลาเรีย (Antimalarial Drugs)
โดยเฉพาะ Hydroxychloroquine ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบของระบบภูมิคุ้มกัน และมักใช้ในผู้ป่วยที่มีการอักเสบรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น
3. ยาปรับภูมิคุ้มกัน (Immunomodulators)
เช่น Methotrexate หรือ Mycophenolate Mofetil อาจมีการนำมาใช้ในกรณีที่โรคไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
4. การดูแลเสริม
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การเปลี่ยนมาใช้แชมพูสูตรอ่อนโยน ลดการระคายเคือง หลีกเลี่ยงการทำเคมีผมและความร้อน ตลอดจนการลดความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะภาวะเครียดอาจกระตุ้นการอักเสบให้ลุกลามได้

ผู้ป่วย Lichen Planopilaris สามารถปลูกผมได้หรือไม่?
สำหรับผู้ป่วยที่โรคสงบแล้ว กล่าวคือ ไม่มีการอักเสบมานานกว่า 1-2 ปี สามารถพิจารณาการปลูกผมถาวรเพื่อฟื้นฟูบริเวณที่สูญเสียรูขุมขนได้
อย่างไรก็ตาม การปลูกผมไม่ใช่การรักษาขั้นแรก เพราะหากโรคยังไม่สงบดี การอักเสบอาจกลับมากำเริบและทำลายรูขุมขนที่ปลูกใหม่ได้อีกครั้ง ดังนั้น การประเมินโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์จึงมีความสำคัญมากก่อนการตัดสินใจในทุกขั้นตอน
หากสงสัยว่าผมร่วงเป็นหย่อมอาจเกิดจาก Lichen Planopilaris หรือมีรอยแผลเป็นบนหนังศีรษะ สามารถปรึกษาได้ที่เบ้สท์แฮร์ไอค่อนส์ (บีเอชไอ) คลินิก ดำเนินการและบริหารโดย พญ. กุลกานต์ อมรพัฒนา แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมพลาสติกและตกแต่ง ผ่านการรับรองโดย American Board of Hair Restoration Surgery และเป็นสมาชิกแพทย์พี่เลี้ยงของ สมาคมแพทย์ปลูกผมนานาชาติ (ISHRS) พร้อมให้คำแนะนำด้านเส้นผมอย่างละเอียด เพื่อช่วยวางแผนการรักษาที่เหมาะกับลักษณะเส้นผมและสภาพหนังศีรษะของแต่ละบุคคล
คลินิกของเราเปิดให้บริการ 2 สาขา ได้แก่ สาขาลาดพร้าว และสาขาศาลายา จังหวัดนครปฐม ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (+66) 82-219-9695, (+66) 98-841-3184 หรืออีเมล consult@bhiclinic.com
ผมร่วงเป็นหย่อม ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนสายเกินไป
โรค Lichen Planopilaris แสดงให้เห็นว่าภาวะผมร่วงบางประเภทไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกอย่างเดียว แต่อาจสะท้อนถึงความผิดปกติระดับเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย การรักษาจึงไม่ใช่เพียงการกระตุ้นให้ผมขึ้นใหม่ แต่ต้องควบคุมการอักเสบและรักษาสมดุลของหนังศีรษะในระยะยาว เพื่อให้สามารถดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสมและป้องกันการสูญเสียเส้นผมในอนาคต
ข้อมูลอ้างอิง
- Lichen Planopilaris. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 จาก https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/24537-lichen-planopilaris.
- Lichen planopilaris. สืบค้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 จาก https://dermnetnz.org/topics/lichen-planopilaris.





